สรุป การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (ทักษะแห่งโลกอนาคต)
ผู็เรียนต้องก้าวข้าม สาระวิชาไปสู่การเรียนรู้ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21ซึ่งครูจะเป็นผู้สอนแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ต้องให้นักเรียนเป็นผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง โดยครูจะเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ ฝึกฝนให้ตนเองเป็นโค้ช และอำนวยความสะดวก ในการเรียนรู้แบบ ของนักเรียน
ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวช่วยของครูในการจัดการเรียนรู้คือ ชุมชนการเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ เกิดจากการรวมตัวกันของครูเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำหน้าที่ของครูแต่ละคนนั่นเอง ปัจจุบันเมื่อเรามีเทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้เรารู้ว่าจิตใต้สำนึก หากกล่าวถึงการเตรียมพร้อมของเด็กในศตวรรษที่ 21 คือการที่ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่มีการแข่งขันการทำอาชีพ การอยู่รอดในสังคม การเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้หากเด็กไม่มีทักษะ ไม่สั่งสมและเรียนรู้จะเอาตัวรอดได้ยากในสังคมโลก
ในศตวรรษที่ 21 การเรียนแบบท่องจำ และการเรียนเพื่อรู้แต่ข้อมูล (information) เพียงอย่างเดียว จะมีประโยชน์น้อยลงทุกที หรือเรียกได้ว่า ความรู้จาก 1i ไม่เพียงพอ
แต่ต้องปรับเป็น 4i คือ
(i) Imagination – จินตนาการ
(i) Inspiration – แรงดลใจ
(i) Insight – ความเข้าใจลุ่มลึก
(i) Intuition – ญานทัศน์ การหยั่งรู้
เพราะเรากำลังเจอโจทย์ท้าทายแห่งยุค ในการพัฒนาคนให้พร้อมสำหรับ
“งานที่ยังไม่มีในวันนี้ โดยต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร”
ควรเน้นเรืองต่อไปนี้
1.มีความคิดสร้างสรรค์
2.ใฝ่รู้
3.สื่อสารเป็น
4.อดทน
5.คิดเชิงวิพากษ์(รู้จักการวิเคราะห์)
6.เรียนรู้จากหลายแหล่ง (ในยุคดิจิตอลในปัจจุบัน คือ เราความมีการใช้สื่อดิจิตอลให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง มากกว่าเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว)
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อ เน้นให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สู่สิ่งที่เรียกว่า "Active Learning" (A-L) ผู้เรียนรู้เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ผู้สอนเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป
1. ฟัง (จากผู้รู้เพื่อปูความรู้พื้นฐานเบื้องต้น จะรับรู้ความรู้ได้จากการฟัง ประมาณ 20-25 % หรือ 1 ใน 4 หรืออาจน้อยกว่านั้น)
2.เล่น (เพื่อทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ จะได้รับองค์ความรู้จากการเล่น ประมาณ 50 % ขึ้นไป หรือ 2 ใน 4 หรืออาจมากกว่านั้น) )
3.ทำ (ลงมือทำในสิ่งที่เรียนรู้มา จากการฟัง-เล่น นำไปสู่การรับรู้และความเข้าใจได้ 75-90%ขึ้นไป หรือ 3 ใน 4 หรืออาจมากกว่านั้น ส่วนของระบบการเรียนรู้ทังหมดของคนเราในชั่วชีวิตนั่นเอง)
แต่ต้องปรับเป็น 4i คือ
(i) Imagination – จินตนาการ
(i) Inspiration – แรงดลใจ
(i) Insight – ความเข้าใจลุ่มลึก
(i) Intuition – ญานทัศน์ การหยั่งรู้
เพราะเรากำลังเจอโจทย์ท้าทายแห่งยุค ในการพัฒนาคนให้พร้อมสำหรับ
“งานที่ยังไม่มีในวันนี้ โดยต้องใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่เกิด เพื่อแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร”
ควรเน้นเรืองต่อไปนี้
1.มีความคิดสร้างสรรค์
2.ใฝ่รู้
3.สื่อสารเป็น
4.อดทน
5.คิดเชิงวิพากษ์(รู้จักการวิเคราะห์)
6.เรียนรู้จากหลายแหล่ง (ในยุคดิจิตอลในปัจจุบัน คือ เราความมีการใช้สื่อดิจิตอลให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง มากกว่าเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว)
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อ เน้นให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สู่สิ่งที่เรียกว่า "Active Learning" (A-L) ผู้เรียนรู้เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ผู้สอนเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป
1. ฟัง (จากผู้รู้เพื่อปูความรู้พื้นฐานเบื้องต้น จะรับรู้ความรู้ได้จากการฟัง ประมาณ 20-25 % หรือ 1 ใน 4 หรืออาจน้อยกว่านั้น)
2.เล่น (เพื่อทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ จะได้รับองค์ความรู้จากการเล่น ประมาณ 50 % ขึ้นไป หรือ 2 ใน 4 หรืออาจมากกว่านั้น) )
3.ทำ (ลงมือทำในสิ่งที่เรียนรู้มา จากการฟัง-เล่น นำไปสู่การรับรู้และความเข้าใจได้ 75-90%ขึ้นไป หรือ 3 ใน 4 หรืออาจมากกว่านั้น ส่วนของระบบการเรียนรู้ทังหมดของคนเราในชั่วชีวิตนั่นเอง)
เน้นทักษะ ASK คือ
- Attitude
- Skill
- Knowledge
เรียนรู้จากการลงมือทำจริง หรือที่เรียกว่า Learning by doing
การเรียนรู้โดยการลงมือทำเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่สนับสนุนให้คนเราปฏิบัติสิ่งต่างๆด้วยตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพ ด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะจนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าหากคนเราได้กระทำจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ผู้เรียนจะสนุกสนานที่จะสืบค้นหาความรู้ต่อไป มีความสุขที่จะเรียน
การเรียนรู้โดยการลงมือทำเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่สนับสนุนให้คนเราปฏิบัติสิ่งต่างๆด้วยตนเองตามความสนใจ ตามความถนัดและศักยภาพ ด้วยการศึกษา ค้นคว้า ฝึกปฏิบัติ ฝึกทักษะจนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะเชื่อว่าหากคนเราได้กระทำจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นเป็นแรงจูงใจให้เกิดการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ผู้เรียนจะสนุกสนานที่จะสืบค้นหาความรู้ต่อไป มีความสุขที่จะเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น